วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว
การสร้างวัดนั้น ท่านพระอาจารย์บุญมากเป็นผู้ริเริ่ม ท่านเป็นคนฝั่งลาวจำปาสัก เข้ามาเผยแพร่อบรมสมาธิทางฝั่งไท
และได้ปักกลด ที่ภูพร้าวแห่งนี้ในปี 2497-2498 ต่อมาปี 2516 ท่านได้ขอบิณฑบาตพื้นที่ให้เป็นวัดจากทางหน่วยทหารและทางราชการอ.พิบูลมังสาหาร ทางอำเภอจึงให้ตั้งชื่อวัดว่า วัดสิรินธรวราราม
หลังจากนั้นท่านพระอาจารย์บุญมากต้องกลับประเทศลาว ทิ้งให้วัดร้างหลายสิบปี จนกระทั่งปี 2542 พระครูกมล
ลูกศิษย์ของท่านได้ค้นพบวัดอีกครั้งและบูรณะให้กลับมาเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมได้ดังเดิม
หลังจาก พระครูกมลละสังขารไปในปี 2549 พระครูปัญญาก็เข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดและสานต่องานสร้างวัดต่อไป
อย่างต้นกัลปพฤกษ์ เรืองแสงเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปีที่แล้ว ส่วนพระอุโบสถยังมีการแต่งเติมอยู่เรื่อยๆ
วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว จังหวัดอุบลราชธานี อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวห้ามพลาดกับการชมปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์ เมื่อทุก ๆ คืนต้นกัลปพฤกษ์ทางผนังด้านหลังโบสถ์จะค่อย ๆ เรืองแสงเปล่งประกาย โดดเด่นท่ามกลางความมืดมิด อย่างสวยงามและน่าประทับใจ สมกับที่ผู้คนต่างขนานนามวัดแห่งนี้ว่า "วัดเรืองแสง" วันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปชมหน้าตาปรากฏการณ์เรืองแสงที่ว่านี้กัน เผื่อว่ามีใครอยากเห็นของจริง แล้วค่อยตามไปเก็บภาพทีหลังก็ยังได้
สำหรับวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว ตั้งอยู่ที่ตำบลช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี และด้วยพิกัดที่ตั้งของวัดอยู่บนเนินเขาสูง นอกจากพื้นที่นี้จะเป็นที่ประดิษฐานโบสถ์อันสวยงามแล้ว ยังมีจุดชมวิวและทัศนียภาพอยู่หลายจุด หรือจะนั่งชมความสวยงามของพระอาทิตย์ตกยามเย็นก็ยังได้ แต่ไฮไลท์เด็ดที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเลย ก็คือ การได้มาชมภาพเรืองแสงสีเขียวของต้นกัลปพฤกษ์ ซึ่งเป็นจิตรกรรมบริเวณด้านหลังของอุโบสถนั่นเอง
ิ
สำหรับต้นกัลปพฤกษ์หลังอุโบสถวัดสิรินธรวรารามภูพร้าวแห่งนี้ เป็นผลงานการออกแบบของช่างคณากร ปริญญาปุณโณ ผู้เป็นเจ้าของไอเดียใช้สารเรืองแสงที่เรียกว่า ฟอสเฟอร์ (Phosphor) ทาลงไปที่ต้นกัลปพฤกษ์ ซึ่งในช่วงกลางวันต้นกัลปพฤกษ์ต้นนี้จะดูดแสงแดดเอาไว้ เมื่อตกกลางคืนก็จะปรากฏเป็นต้นไม้เรืองแสงงดงามอย่างที่เราได้เห็นกัน จนทำให้วัดแห่งนี้กลายเป็นวัดดังและเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการดูต้นไม้เรืองแสง คือ เวลา 18.00-20.00 น.
นอกจากปรากฏการณ์ต้นไม้เรืองแสงแล้ว ความสวยงามของพระอุโบสถที่นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้ ตัวอุโบสถมีต้นแบบมาจากวัดเชียงของ ประเทศลาว แต่มีความกว้างและความยาวมากกว่าประมาณ 1-2 เท่า โดยรอบของเสาแต่ละต้นลงลวดลายด้วยมือ สะท้อนให้เห็นถึงความประณีตและความพิถีพิถัน ส่วนพระประธานภายในโบสถ์ เดิมเป็นองค์พระพุทธชินราช แต่ภายหลังได้มีการออกแบบใหม่ โดยถอดรัศมีและพระเกตุมาลาออก และมีไม้แกะสลักเป็นต้นโพธิ์ อยู่ทางด้านหลังพระประธาน ใครอยากเดินทางมาชื่นชมความสวยงามทั้งหมดนี้ด้วยตาตัวเองสักครั้ง สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ (ททท.) สำนักงานอุบลราชธานี โทร. 045 243 770, 045 250 714
สถานที่ตั้ง : ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานีี
ถ่ายภาพเมื่อ : 18 ธันวาคม 2560
วันติดตั้งหน้าเว็บ : 25 เมษายน 2562
แหล่งที่มาข้อมูล : travel.kapook.com, ubon.town
ปรับปรุงล่าสุด :
จำนวนผู้เข้าชม : 8597 ครั้ง
หมายเหตุ : เว็บมาสเตอร์เดินทางไปชมและถ่ายภาพเอง